วันพุธที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

วันพุธที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียนครั้งที่12


นำเสนอโมเดลโรงเรียน

กลุ่มที่ 1 โรงเรียนสงวนสิทธิ์วิทยา









กลุ่มที่ 2 โรงเรียนไอวีบราวน์






กลุ่มที่ 3 โรงเรียน Charisma International







ประเมินตัวเอง : เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย ตั้งใจนำเสนอ และตั้งใจฟังเพื่อนนำเสนอ
ประเมินเพื่อน : เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย ตั้งใจฟังเพื่อนนำเสนอ
ประเมินอาจารย์ : เข้าสอนตรงเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย อธิบายข้อมูลที่เพื่อนนำเสนอได้อย่างเข้าใจ
ประเมินห้องเรียน : ห้องเรียนกว้าง เหมาะสมแก่การเรียนการสอน









วันอังคารที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2560



วันพุธที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2560


บันทึกการเรียนครั้งที่11

นำเสนอบทความ 





   นำเสนอสัมภาษณ์ผู้บริหาร


กลุ่มที่ 1 โรงเรียนงามมานะ(แผนทับอุทิศ) สังกัด: กรุงเทพมหานคร






กลุ่มที่ 2 โรงเรียนเทพประทานพร  สังกัด: กรุงเทพมหานคร




กลุ่มที่ 3 โรงเรียนอนุบาลลูกหนู สังกัด:กระทรวงศึกษาธิการ

และโรงเรียนวัดศรีบุญเรือง สังกัดกระทรวงมหาดไทย



ประเมินตัวเอง : เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย ตั้งใจนำเสนอ และตั้งใจฟังเพื่อนนำเสนอ

ประเมินเพื่อน : เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย ตั้งใจฟังเพื่อนนำเสนอ

ประเมินอาจารย์ : เข้าสอนตรงเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย อธิบายข้อมูลที่เพื่อนนำเสนอได้อย่างเข้าใจ

ประเมินห้องเรียน : ห้องเรียนกว้าง เหมาะสมแก่การเรียนการสอน


วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560

วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560
                                                       
                                                            บันทึกการเรียน


เพื่อนนำเสนอคำคม


1.นางสาวชนากานต์  พงษ์สิทธิศักดิ์



2. นางสาวรัตนาภรณ์  คงกะพัน 



ประเมิน
ตัวเอง
  -เข้าเรียนตรงต่อเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย ตั้งใจเรียนให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมภายในห้องเรียน ตั้งใจฟังอาจารย์สอน

เพื่อน
  -เพื่อนแต่งกายสุภาพเรียบร้อย  เข้าเรียนตรงต่อเวลา ตั้งใจเรียนร่วมทำกิจกรรมภายในห้องเรียน

อาจารย์ผู้สอน
  -เข้าสอนตรงต่อเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย สอนเข้าใจง่ายมีการยกตัวอย่างเพื่อให้นักศึกษาเข้าใจง่ายขึ้น 

ห้องเรียน
  -ห้องเรียนสะอาด อุปกรณ์พร้อมใช้งาน



วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2560

วันพุธที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2560
                                                       
                                                            บันทึกการเรียนครั้งที่ 9


เพื่อนนำเสนอบทความ

1. นางสาววัชรี  วงษ์สะอาด





2. นางสาวยุภา  ธรรมโคตร



เพื่อนเเสดงบทบาทสมมุติ

กลุ่มที่ 1 ผู้บริหารที่ไม่ดี






กลุ่มที่ 2 ผู้บริหารที่ไม่ดี




กลุ่มที่ 3 ผู้บริหารที่ดี






อาจารย์สอนเกี่ยวกับ
 การแต่งกายการเลือกเสื้อผ้าของผู้บริหารและการแต่งกายให้ถูกต้องตามกาละเทศะ






ประเมิน

ตัวเอง
  -เข้าเรียนตรงต่อเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย  เตรียมตัวในการแสดงบทบาทสมมุติมาเป็นอย่างดี ตั้งใจฟังขณะที่อาจารย์สอน

เพื่อน
  -เพื่อนแต่งกายสุภาพเรียบร้อย  เข้าเรียนตรงต่อเวลา เพื่อนแต่ละกลุ่มตั้งใจและเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดีในการแสดงบทบาทสมมุติ

อาจารย์ผู้สอน
  -เข้าสอนตรงต่อเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย

ห้องเรียน
-ห้องเรียนสะอาด อุปกรณ์พร้อมใช้งาน






วันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2560
                                     

บันทึกการเรียนครั้งที่ 8

นำเสนอคำคม
นางสาววราภรณ์ แทนคำ









ความหมายของบุคลิกภาพ
              ลักษณะทั้งภายนอกและภายในที่รวมอยู่ในตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งและเป็นผลทำให้บุคคลนั้น มีความแตกต่างไปจากบุคคลอื่นๆ บุคลิกภาพแบ่งออกเป็น 2 สภาพ ด้วยกันคือ

              บุคลิกภาพภายนอก สามารถสังเกตเห็นหรือสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้โดยการฝึกเลียนแบบ และสามารถวัดผลได้ทันที บุคลิกภาพภายนอกที่สำคัญที่สุด คือ บุคลิกภาพทางกายและวาจา
              บุคลิกภาพภายใน หมายถึง บุคลิกภาพที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เป็นส่วนที่สัมผัสได้ค่อนข้างยากและต้องใช้เวลาในการสัมผัส
ประเภทของบุคลิกภาพ
                บุคลิกภาพภายนอก  คือ  สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากภายนอกของแต่ละคนสามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ง่าย ใช้เวลาไม่นาน แบ่งได้เป็น 4 หมวด คือ  

1.  รูปร่างหน้าตา

2.  การแต่งกาย

3.  กิริยาท่าทาง
4.  การพูด

            บุคลิกภาพภายใน  คือ สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ หรืออุปนิสัยใจคอที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ 
แก้ไขได้ยาก  เช่น

  1. ความเชื่อมั่นในตนเอง  
  2. ความกระตือรือร้น

  3. ความรอบรู้  

  4. ความคิดริเริ่ม
  5. ความจริงใจ  
  6. ไหวพริบปฏิภาณ
  7. ความรับผิดชอบ  
  8. ความจำ
  9. อารมณ์ขัน

การมองตัวเองในกระจกเงา


- การมองเห็นตัวเอง
- การยอมรับตัวเอง
- การเข้าใจในตัวเอง
- ความเชื่อถือตัวเอง
- ความต้องการเปลี่ยนตัวเอง
      ในแต่ละครั้งที่เราต้องพบเจอผู้คนในองค์กรหรือนอกองค์กรการสนทนา การแสดงความคิดเห็น 
หรือการพูดให้ความรู้ การนำเสนองานต่างๆ นั้นควรประกอบด้วย 3 ส่วน คือเนื้อหาสาระของคำพูด 7% น้ำเสียง 38% กิริยาท่าทาง (บุคลิกภาพ) 55%














  1.การใช้สายตา การมอง การสบสายตาขณะพูด 
  2.การแต่งกาย
  3.ภาษาพูด จังหวะการพูด ระดับเสียง
  4.การเดิน / การนั่ง
  5.การแสดงออกและท่าทาง การไหว้ การรับไหว้
  6.ความสะอาด
  7.สุขภาพต้องดี คนป่วยคงไม่มีใครอยากเข้าใกล้

สาเหตุที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพ คือความท้อถอย

 บุคลิกภาพที่ไม่สร้างสรรค์และอยู่ภายในตัวตนแล้วทำให้ความเป็นคนๆนั้นไม่สมบูรณ์ได้แก่ความท้อถอยแม้ว่าเป็นประโยคสั้นๆ แต่ถ้าอาการนี้ถ้าเกิดขึ้นกับใครแล้ว อาการนี้จะเข้ามาทำลายความสมดุลในตัวเรา เข้ามาแทรกในความรู้สึกนึกคิดทำให้พลังและศักยภาพของเราลดน้อยลงกว่าครึ่ง ในเรื่องความท้อถอยมักเกิดขึ้นกับบุคคลที่อยู่ในช่วงอายุ 20-40 ปี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลในช่วงอายุอื่นจะไม่มีความท้อ บางท่านอาจเกิดอาการท้อเป็นช่วงๆ บางท่านโชคดีไม่รู้จักความท้อ

ความท้อถอยสามารถสังเกตได้จากอาการ ลักษณะ คือ
  1. ลักษณะของความท้อถอยทางด้านอารมณ์ หรือ ความอ่อนล้าทางอารมณ์ ได้แก่ความรู้สึกเบื่อหน่าย ความอ่อนล้า หมดเรี่ยวหมดแรง เกิดความเครียด ความคับข้องใจ ไม่สบอารมณ์  
  2.  ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น ได้แก่ ลักษณะของบุคคลที่ไม่สนใจในพฤติกรรมของใครๆ ไม่ยินดียินร้าย ใครจะทักก็ช่าง ใครไม่ทักก็ช่าง ไม่ใส่ใจพฤติกรรมของคนอื่น มีเจตคติและแนวคิดที่ไม่ดีต่อคนอื่น มองคนอื่นในแง่ร้าย 
  3. .ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากการไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานของคนบางท่านอาจจะรู้สึกเองว่าตนเองไร้ความสามารถ การทำงานล้มเหลว งานไม่สมกับที่ตั้งใจไว้ บุคคลกลุ่มนี้จะมองคุณค่าของตนเองต่ำ


ประเมิน


ตัวเอง
  -เข้าเรียนตรงต่อเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย ตั้งใจเรียนให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมภายในห้องเรียน ตั้งใจฟังอาจารย์สอน

เพื่อน
  -เพื่อนแต่งกายสุภาพเรียบร้อย  เข้าเรียนตรงต่อเวลา ตั้งใจเรียนร่วมทำกิจกรรมภายในห้องเรียน 

อาจารย์ผู้สอน
  -เข้าสอนตรงต่อเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย สอนเข้าใจง่ายมีการยกตัวอย่างเพื่อให้นักศึกษาเข้าใจง่ายขึ้น มีการอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคการเสริมสร้างบุคลิกภาพ

ห้องเรียน
  -ห้องเรียนสะอาด อุปกรณ์พร้อมใช้งาน



วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560

วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560
                                                       
                                                            บันทึกการเรียนครั้งที่ 7
นำเสนอคำคม
นางสาวปัณฑิตา คล้ายสิงห์




นางสาวชนากานต์  แสนสุข




นางสาวสุจิตรา มาวงศ์

นางสาวภัทรวรรณ หนูแก้ว




นางสาวศุทธินี โนนริบูรณ์



เพื่อนๆนำเสนองานวิจัย
กลุ่มที่ 1  วิจัยเรื่อง  ความเป็นผู้บริหารมือชีพของมหาบัณฑิต 
วิจัยเรื่องความเป็นผู้บริหารมือชีพของมหาบัณฑิต
สาขา  :  วิชาการบริหารสถานศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
การศึกษาระดับ  : ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต
มหาวิทยาลัย  :  มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้วิจัย  :  อัญชลี พิมพ์พจน์
ปีการศึกษา :  2553
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย

        ประเด็นที่ 1 ผลจากการวิจัยทำให้ทราบความคิดเห็นของมหาบัณฑิต และผู้ร่วมงานของมหาบัณฑิตในความเป็นผู้บริหารมืออาชีพของมหาบัณฑิตสาขาวิชาการบริหารการศึกษา  คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในปีการศึกษา 2549 – 2551 ที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสถานศึกษา รองผู้อำนวยการสถานศึกษา ที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน
        ประเด็นที่ 2 เพื่อนำผลที่ได้ไปใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงหรือพัฒนาหลักสูตรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นรวมถึงพัฒนานิสิตต่อไปในอนาคต ทั้ง 9 ด้าน คือ ด้านการบริหารงานวิชาการ ด้านการบริหารงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล ด้านการประกันคุณภาพการศึกษา ด้านการบริหารการประชาสัมพันธ์และความสัมพันธ์ชุมชน  ด้านการบริหารกิจการนักเรียน ด้านการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านวิจัยทางการศึกษา  ด้านคุณธรรมและจริยธรรม
        ประเด็นที่ 3 มหาบัณทิตให้ทราบจุดอ่อนจุดแข็ง และใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาตนเอง เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
  1. เพื่อศึกษาความเป็นผู้บริหารมืออาชีพของมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา  คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ใน 9 ด้าน คือ ด้านการบริหารงานวิชาการ ด้านการบริหารงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล ด้านการประกันคุณภาพการศึกษา ด้านการบริหารการประชาสัมพันธ์และความสัมพันธ์ชุมชน  ด้านการบริหารกิจการนักเรียน ด้านการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านวิจัยทางการศึกษา  ด้านคุณธรรมและจริยธรรม ตามความคิดเห็นของมหาบัณฑิตและผู้ร่วมงานขิงมหาบัณฑิต
  2. เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของมหาบัณฑิตและผู้ร่วมงานของมหาบัณฑิตในความเป็นผู้บริหารมืออาชีพ ของมหาบัณฑิตสาขาวิชาการบริหารการศึกษา   มหาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จำแนกตามสถานภาพ หน่วยงานที่สังกัดและปีที่สำเร็จการศึกษา
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์การใช้ศาสตร์และศิลป์ในการบริหารการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลสอดคล้องกับบริบททางวัฒนธรรมและระบบคุณค่าแห่งสังคมไทยโดยรวม ท้องถิ่นและชุมชน
2.  เป็นนักบริหารมืออาชีพที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ก้าวทันมิติแห่งการเปลี่ยนแปลง
3.  มีความรู้ความสามารถในการศึกษาค้นคว้าและวิจัย เพื่อประโยชน์ต่อการบริหารการศึกษาให้บรรลุผล และมีความรู้ความสามารถในการศึกษาค้นคว้าสามารถนําเอาทฤษฎีหรือผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการบริหารการศึกษา
4.  มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการทํางาน
5.  มีเจตคติที่ดีต่อวิชาชีพ และมีคุณธรรมจริยธรรม




กลุ่มที่ 2 งานวิจัยเรื่อง การศึกษาสมรรถนะการบริหารด้านวิชาการระดับปฐมวัยของผู้บริหารสถาน
งานวิจัย : เรื่องการศึกษาสมรรถนะการบริหารด้านวิชาการระดับปฐมวัยของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร สำนักงานเขตภาษีเจริญ
การศึกษาระดับ  :   ปริญญาโท การศึกษามหาบัณฑิต (กศ.ม) การบริหารการศึกษา จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพมหานคร
ผู้วิจัย :  นางระเบียบ เชี่ยวชาญ
ปีการศึกษา  : 2550

ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่ 1 การศึกษาเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาคน ทั้งนี้เพราะความสามารถและศักยภาพของคนจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศชาติให้มีความเจริญ
ประเด็นที่ 2 เด็กปฐมวัยเป็นวัยที่สำคัญที่สุดของการพัฒนา ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคมและบุคลิกภาพ เป็นวัยที่เรียกว่าช่วงแห่งการเจริญเติบโตงอกงามสำหรับชีวิต และยังเป็นช่วงวัยที่เกิดการเรียนรู้ได้มากที่สุดในชีวิต
ประเด็นที่ 3การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสม เป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กสามารถช่วยให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์และเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพในอนาคต
ประเด็นที่ 4 เด็กเปรียบเสมือนผ้าขาว เด็กทุกคนมีความสามารถด้านการเรียนรู้และด้านสมอง เท่าเทียมกัน องค์ประกอบของสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเด็ก

ประเด็นที่ 5 การจัดการศึกษาปฐมวัยจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ในทำนองเดียวกันต้องจัดให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ปกครอง ผู้บริหารสถานศึกษาซึ่งเป็นบุคลากรหลักและเป็นผู้นำในการบริหาร
วัตถุประสงค์การวิจัย
1. เพื่อศึกษาสมรรถนะการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูในโรงเรียนประถมศึกษา ในสังกัดกรุงเทพมหานคร สำนักงานเขตภาษีเจริญ ในด้านการจัดการการเรียนรู้ การพัฒนาหลักสูตร การนิเทศ และการส่งเสริมการวิจัย
  2. เพื่อเปรียบเทียบสมรรถนะการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูในโรงเรียนประถมศึกษา ในสังกัดกรุงเทพมหานคร สำนักงานเขตภาษีเจริญ ในด้านการจัดการการเรียนรู้ การพัฒนาหลักสูตร การนิเทศ และการส่งเสริมการวิจัยจำแนกตามตัวแปรประสบการณ์สอนและขนาดของโรงเรียน
3. เพื่อรวบรวมข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสมรรถนะการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของผู้บริหารสถาศึกษาในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร สำนักงานเขตภาษีเจริญ




กลุ่มที่3 งานวิจัย  เรื่องการบริหารแบบมีส่วนร่วมที่ส่งผลประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัย
งานวิจัย : เรื่อง การบริหารแบบมีส่วนร่วมที่ส่งผลประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัย
การศึกษา : ระดับ ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต
มหาวิทยาลัย : ศิลปกร
ผู้วิจัย : นางสาวกัญวัญญ์  ธารีบุญ
ปีการศึกษา : 2557
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่ 1ในปัจจุบันผู้ปกครองไม่มีเวลาดูแลบุตรของตนได้มากพอ จึงก่อให้เกิดปัญหาหลายด้าน โรงเรียนที่จัดการศึกษาในระดับปฐมวัยหรือโรงเรียนอนุบาลจึงจำเป็นกับสังคมปัจจุบัน และจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ
ประเด็นที่ 2 ในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนให้มีคุณภาพ มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญในการที่จะบริหารจัดการให้มีคุณภาพ
ประเด็นที่ 3 นโยบายการศึกษาของรัฐที่ไม่ชัดเจนแน่นอนและบทบาทของหน่วยงานภาครัฐที่มุ่งควบคุมมากกว่าส่งเสริม กฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ
ประเด็นที่ 4 ในการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนมีปัญหาด้านรายได้ที่ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายที่เกิดขึ้นการวางแผนพัฒนาและการเกิดผลสัมฤทธิ์ผลของเด็กสูงกว่าความเป็นจริงการได้รับ การช่วยจากรัฐบาลไม่ทั่วถึง ไม่เท่าเทียมกัน การมีมีส่วนร่วม การบริหารการศึกษา
ประเด็นที่ 5 ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นกลไกลสำคัญสำคัญในการสร้างเครือข่ายสร้างทีมงานขับเคลื่อนสถานศึกษาให้ไปในทิศทางที่ต้องการ ผู้บริหารมีหน้าที่ทำให้ทุกคนมีความรู้สึกที่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนในสถานศึกษาสร้างความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเป็นการบริหารแบบมีส่วนร่วม(Participative Management)
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อทราบการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัย
2. เพื่อทราบประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารศาสตร์ศึกษาเอกชนระดับปฐมวัย
3. เพื่อทราบการบริหารแบบมีส่วนร่วมที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัย
สรุปผลการวิจัย
จากการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัย ผู้วิจัยสามารถสรุปผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้
1.องค์ประกอบการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยมีจำนวน 9
  องค์ประกอบ คือ
  องค์ประกอบที่ 1 ความผูกพันต่อองค์การ
  องค์ประกอบที่ 2 การพัฒนาทีมงาน
  องค์ประกอบที่ 3 การกระจายอำนาจ
  องค์ประกอบที่ 4 ความไว้วางใจกัน
  องค์ประกอบที่ 5 การให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์
  องค์ประกอบที่ 6 การตัดสินใจร่วมกัน
  องค์ประกอบที่ 7 การร่วมกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย  
  องค์ประกอบที่ 8 ความเป็นอิสระในการบริหารองค์การ 
  องค์ประกอบที่ 9 เข้าใจธรรมชาติขององค์การ


การประเมิน

ตัวเอง        
- เข้าเรียนตรงต่อเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย ตั้งใจเรียน ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมภายในห้องเรียน

เพื่อน       

 -เพื่อนแต่งกายสุภาพเรียบร้อย  เข้าเรียนตรงต่อเวลา ตั้งใจเรียน ร่วมทำกิจกรรมภายในห้องเรียน

อาจารย์ผู้สอน

  -เข้าสอนตรงต่อเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย อธิเนื้อหาได้อย่างเข้าใจ

ห้องเรียน
  -ห้องเรียนสะอาด อุปกรณ์พร้อมใช้งาน